วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง: ทฤษฏีการเรียนรู้อย่างมีความหมายของ David P. Ausubel

วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
ผู้วิจัยได้คิดค้นจากทฤษฎีการเรียนรู้ต่างๆ   ทฤษฎีการเรียนรู้ซึ่งเกี่ยวข้องและนำมาใช้โดยตรงเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีดังนี้
-   ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ของ ออซูเบล David P. Ausubel )
-   ทฤษฎีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Child Center  อ้างอิงถึงบทความของ  อาจารย์ไพฑูรสินลารัตน์, 2549)

ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ของ ออซูเบล (David P. Ausubel)
ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย  (A Theory of Meaningful Verbal Learning)  เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ในกลุ่ม จิตวิทยาการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม (Cognitivism) 
แนวความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของทฤษฏีนี้ คือ การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิดที่เกิดจากการสะสมข้อมูล การสร้างความหมาย และความสัมพันธ์ของข้อมูล  และการดึงข้อมูลออกมาใช้ในการกระทำและการแก้ปัญหาต่าง ๆ   การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสติปัญญาของมนุษย์ในการที่จะสร้างความรู้และความเข้าใจให้แก่ตนเอง
ออซูเบล (Ausubel , David 1963)  กล่าวว่าการเรียนรู้จะมีความหมายแก่ผู้เรียน  หากการเรียนรู้นั้นสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่รู้มาก่อน   หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้  คือ  มีการนำเสนอความคิดรวบยอดหรือกรอบมโนทัศน์  หรือกรอบแนวคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแก่ผู้เรียนก่อนการสอนเนื้อหาสาระ นั้นๆ  จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนเนื้อหาสาระนั้นอย่างมีความหมาย
          ออซูเบล ระบุว่า การเรียนรู้อย่างมีความหมายขึ้นอยู่กับตัวแปร 3 อย่าง ดังต่อไปนี้
               1. สิ่ง (Materials) ที่จะต้องเรียนรู้จะต้องมีความหมาย ซึ่งหมายความว่าจะต้องเป็นสิ่งที่มี ความสัมพันธ์กับสิ่งที่เคยเรียนรู้และเก็บไว้ในโครงสร้างพุทธิปัญญา (cognitive structure)
               2. ผู้เรียนจะต้องมีประสบการณ์ และมีความคิดที่จะเชื่อมโยงหรือจัดกลุ่มสิ่งที่เรียนรู้ใหม่ให้สัมพันธ์กับ ความรู้หรือสิ่งที่เรียนรู้เก่า
               3. ความตั้งใจของผู้เรียนและการที่ผู้เรียนมีความรู้-คิดที่จะเชื่อมโยงสิ่งที่ เรียนรู้ใหม่ให้มีความสัมพันธ์กับโครงสร้างพุทธิปัญญา (Cognitive Structure) ที่อยู่ในความทรงจำแล้ว
ออซูเบลได้แบ่งการเรียนรู้อย่างมีความหมายเป็น 3 ประเภท คือ
1. Subordinate learning  เป็นการเรียนรู้โดยการรับอย่างมีความหมาย โดยมีวิธีการ             ประเภท คือ
    1.1 Deriveration Subsumption   เป็นการเชื่อมโยงสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ใหม่กับหลักการหรือกฎเกณฑ์ที่เคย เรียนมาแล้ว โดยการได้รับข้อมูลมาเพิ่ม เช่น มีคนบอก แล้วสามารถดูดซึมเข้าไปในโครงสร้างทางสติปัญญาที่มีอยู่แล้วอย่างมีความหมาย โดยไม่ต้องท่องจำ  ตัวอย่างเช่น  ผู้เรียนเคยรู้มาว่า  สัตว์ปีกบินได้
                           ข้อมูลใหม่ที่ได้รับ  เช่น จากการบอกว่า  นกบินได้
                           การเรียนรู้โดยการรับอย่างมีความหมายว่า   นกเป็นสัตว์ปีก (บินได้)
                 1.2 Correlative Subsumption  เป็นการเรียนรู้ที่มีความหมายเกิดจาก การขยายความ หรือปรับ
              โครงสร้างทางสติปัญญาที่มีมาก่อนให้สัมพันธ์กับสิ่งที่จะเรียนรู้ ใหม่
             2. Superordinate learning  เป็นการเรียนรู้โดยการอนุมาน โดยการจัดกลุ่มสิ่งที่เรียนใหม่
                 เข้ากับความคิดรวบยอดที่กว้างและครอบคลุม ความคิดยอดของสิ่งที่เรียนใหม่ เช่น สุนัข แมว หมู                 เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
             3. Combinatorial learning เป็นการเรียนรู้หลักการ กฎเกณฑ์ต่างๆเชิงผสม ในวิชาคณิตศาสตร์ หรือ 
                วิทยาศาสตร์ โดยการใช้เหตุผล หรือการสังเกต  เช่นการเรียนรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง
                น้ำหนักกับระยะทางในการที่ทำ ให้เกิดความสมดุล

              แนวทางการสอนที่ได้จากทฤษฎีนี้ 
การเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้รับมาจากการที่ผู้สอนอธิบายสิ่งที่จะต้อง เรียนรู้ให้ฟังและผู้เรียนรับฟังด้วยความเข้าใจ โดยผู้เรียนเห็นความสัมพันธ์กับโครงสร้าง พุทธิปัญญาที่ได้เก็บไว้ในความทรงจำ และจะสามารถนำมาใช้ในอนาคต
 ใช้วิธีการสอนโดยสร้างการเชื่อมช่องว่างระหว่างความรู้ที่ผู้เรียนได้รู้แล้ว (ความรู้เดิม) กับความรู้ใหม่ที่ได้รับ ที่จำเป็นจะต้องเรียนรู้ เพื่อผู้เรียนจะได้มีความเข้าใจเนื้อหาใหม่ได้ดีและจดจำได้ดีขึ้น โดยมีขั้นตอนดังนี้
1.      การจัด เรียบเรียง ข้อมูลข่าวสารที่ต้องการให้เรียนรู้ ออกเป็นหมวดหมู่   หรือ
2.      นำเสนอกรอบ หลักการกว้างๆ ก่อนที่จะให้เรียนรู้ในเรื่องใหม่  หรือ
3.      แบ่งบทเรียนเป็นหัวข้อที่สำคัญ และบอกให้ทราบเกี่ยวกับหัวข้อสำคัญที่เป็นความคิดรวบยอดใหม่ที่จะต้องเรียน
4.      ผู้สอนอธิบายสิ่งที่จะต้อง เรียนรู้ให้ผู้เรียนรับฟังด้วยความเข้าใจ โดยผู้เรียนเห็นความสัมพันธ์กับโครงสร้าง พุทธิปัญญาที่ได้เก็บไว้ในความทรงจำ และจะสามารถนำมาใช้ในอนาคต   ในขั้นตอนนี้ ผู้สอนควรสอดแทรกเทคนิคกิจกรรมที่เหมาะสมนอกเหนือจากการอธิบาย  เช่น  การใช้เกม  การทายปัญหา  การให้ผู้เรียนตั้งคำถาม  การสาธิต  การแสดงสถานการณ์จำลอง  เป็นต้น
5.      นอกจากนี้  อาจนำแนวคิดของทฤษฏีนี้ไปใช้ในการแก้ปัญหาต่างๆ ว่าควรทำความเข้าใจโดยมองปัญหาทุกแง่ทุกมุม ไม่ควรมองปัญหาโดยมีอคติ และใช้ความคิดอย่างมีเหตุมีผลในการแก้ปัญหา 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น