วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
ผู้วิจัยได้คิดค้นจากทฤษฎีการเรียนรู้ต่างๆ ทฤษฎีการเรียนรู้ซึ่งเกี่ยวข้องและนำมาใช้โดยตรงเกี่ยวกับเรื่องนี้
มีดังนี้
- ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ของ ‘ออซูเบล’ David P. Ausubel )
- ทฤษฎีการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Child
Center อ้างอิงถึงบทความของ อาจารย์ไพฑูรสินลารัตน์, 2549)
ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (A Theory of Meaningful Verbal
Learning) เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ในกลุ่ม จิตวิทยาการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม (Cognitivism)
แนวความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของทฤษฏีนี้ คือ การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิดที่เกิดจากการสะสมข้อมูล
การสร้างความหมาย และความสัมพันธ์ของข้อมูล และการดึงข้อมูลออกมาใช้ในการกระทำและการแก้ปัญหาต่าง
ๆ การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสติปัญญาของมนุษย์ในการที่จะสร้างความรู้และความเข้าใจให้แก่ตนเอง
ออซูเบล (Ausubel , David 1963) กล่าวว่าการเรียนรู้จะมีความหมายแก่ผู้เรียน หากการเรียนรู้นั้นสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่รู้มาก่อน
หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้
คือ มีการนำเสนอความคิดรวบยอดหรือกรอบมโนทัศน์
หรือกรอบแนวคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแก่ผู้เรียนก่อนการสอนเนื้อหาสาระ
นั้นๆ จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนเนื้อหาสาระนั้นอย่างมีความหมาย
ออซูเบล
ระบุว่า การเรียนรู้อย่างมีความหมายขึ้นอยู่กับตัวแปร 3 อย่าง
ดังต่อไปนี้1. สิ่ง (Materials) ที่จะต้องเรียนรู้จะต้องมีความหมาย ซึ่งหมายความว่าจะต้องเป็นสิ่งที่มี ความสัมพันธ์กับสิ่งที่เคยเรียนรู้และเก็บไว้ในโครงสร้างพุทธิปัญญา (cognitive structure)
2. ผู้เรียนจะต้องมีประสบการณ์ และมีความคิดที่จะเชื่อมโยงหรือจัดกลุ่มสิ่งที่เรียนรู้ใหม่ให้สัมพันธ์กับ ความรู้หรือสิ่งที่เรียนรู้เก่า
3. ความตั้งใจของผู้เรียนและการที่ผู้เรียนมีความรู้-คิดที่จะเชื่อมโยงสิ่งที่ เรียนรู้ใหม่ให้มีความสัมพันธ์กับโครงสร้างพุทธิปัญญา (Cognitive Structure) ที่อยู่ในความทรงจำแล้ว
ออซูเบลได้แบ่งการเรียนรู้อย่างมีความหมายเป็น 3 ประเภท คือ
|
โครงสร้างทางสติปัญญาที่มีมาก่อนให้สัมพันธ์กับสิ่งที่จะเรียนรู้ ใหม่
2. Superordinate learning เป็นการเรียนรู้โดยการอนุมาน โดยการจัดกลุ่มสิ่งที่เรียนใหม่
เข้ากับความคิดรวบยอดที่กว้างและครอบคลุม ความคิดยอดของสิ่งที่เรียนใหม่ เช่น สุนัข แมว หมู เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
3. Combinatorial learning เป็นการเรียนรู้หลักการ กฎเกณฑ์ต่างๆเชิงผสม ในวิชาคณิตศาสตร์ หรือ
วิทยาศาสตร์ โดยการใช้เหตุผล หรือการสังเกต เช่นการเรียนรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง
น้ำหนักกับระยะทางในการที่ทำ ให้เกิดความสมดุล
แนวทางการสอนที่ได้จากทฤษฎีนี้
การเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้รับมาจากการที่ผู้สอนอธิบายสิ่งที่จะต้อง
เรียนรู้ให้ฟังและผู้เรียนรับฟังด้วยความเข้าใจ โดยผู้เรียนเห็นความสัมพันธ์กับโครงสร้าง
พุทธิปัญญาที่ได้เก็บไว้ในความทรงจำ และจะสามารถนำมาใช้ในอนาคต
ใช้วิธีการสอนโดยสร้างการเชื่อมช่องว่างระหว่างความรู้ที่ผู้เรียนได้รู้แล้ว (ความรู้เดิม) กับความรู้ใหม่ที่ได้รับ ที่จำเป็นจะต้องเรียนรู้ เพื่อผู้เรียนจะได้มีความเข้าใจเนื้อหาใหม่ได้ดีและจดจำได้ดีขึ้น
โดยมีขั้นตอนดังนี้
1.
การจัด เรียบเรียง
ข้อมูลข่าวสารที่ต้องการให้เรียนรู้ ออกเป็นหมวดหมู่ หรือ
2.
นำเสนอกรอบ หลักการกว้างๆ ก่อนที่จะให้เรียนรู้ในเรื่องใหม่ หรือ
3.
แบ่งบทเรียนเป็นหัวข้อที่สำคัญ
และบอกให้ทราบเกี่ยวกับหัวข้อสำคัญที่เป็นความคิดรวบยอดใหม่ที่จะต้องเรียน
4.
ผู้สอนอธิบายสิ่งที่จะต้อง เรียนรู้ให้ผู้เรียนรับฟังด้วยความเข้าใจ
โดยผู้เรียนเห็นความสัมพันธ์กับโครงสร้าง พุทธิปัญญาที่ได้เก็บไว้ในความทรงจำ
และจะสามารถนำมาใช้ในอนาคต ในขั้นตอนนี้
ผู้สอนควรสอดแทรกเทคนิคกิจกรรมที่เหมาะสมนอกเหนือจากการอธิบาย เช่น
การใช้เกม การทายปัญหา การให้ผู้เรียนตั้งคำถาม การสาธิต
การแสดงสถานการณ์จำลอง เป็นต้น
5.
นอกจากนี้ อาจนำแนวคิดของทฤษฏีนี้ไปใช้ในการแก้ปัญหาต่างๆ
ว่าควรทำความเข้าใจโดยมองปัญหาทุกแง่ทุกมุม ไม่ควรมองปัญหาโดยมีอคติ
และใช้ความคิดอย่างมีเหตุมีผลในการแก้ปัญหา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น