วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ทฤษฎีเกม
                เกมเป็นกิจกรรมการเล่นหรือการแข่งขัน เพื่อการเรียนรู้ มีการกำหนดจุดมุ่งหมาย กฎเกณฑ์ กติกา ผู้เล่น วิธีการเล่น การตัดสินผลการเล่นเป็นแพ้หรือชนะ การนำเกมมาประกอบการสอนจะช่วยให้ห้องเรียนมีชีวิตชีวา บทเรียนนั้นๆน่าสนใจ ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ก่อให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน นักเรียนมีโอกาสใช้ปฏิภาณไหวพริบของตนเอง สามารถจดจาบทเรียนได้ง่าย เร็ว และจำได้นาน นอกจากนี้การที่เด็กได้เล่นเกมจะได้ความรู้ทางวิชาการและยังช่วยพัฒนาสติปัญญาตลอดจนความเจริญเติบโตของร่างกายด้วย”  ( มณฑาทิพย์, 2542 )
หากพูดถึงทฤษฎีเกม คนส่วนใหญ่จะนึกถึงทฤษฎีเกมในการนำไปใช้สำหรับ สาขาทาง เศรษฐศาสตร์ และสาขารัฐศาสตร์กันเป็นส่วนใหญ่ ดังจะเห็นได้จากข่าวการมอบรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2548 ให้กับ 2 นักเศรษฐศาสตร์ คือ Thomas Schelling และ Robert Aumann ซึ่งเป็นผู้นำ Game Theory มาใช้เพื่อทำความเข้าใจถึงสภาพของความขัดแย้ง และความร่วมมือ ความสัมพันธ์ขององค์กร และก่อนหน้านี้ในปี 2537 ได้มีการมอบรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ให้กับ John Nash , John Harsanyi  และ Reinhart Selten ที่ได้ศึกษาเรื่องของทฤษฎีเกม   ทฤษฎีเกมไม่ได้ใช้เฉพาะสาขาเศรษฐศาสตร์หรือรัฐศาสตร์เท่านั้น แต่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับทางสาขาสังคมวิทยาอื่นๆ ได้อีกด้วย โดยเฉพาะการใช้ ทฤษฎีเกมเพื่อประโยชน์ในด้านสาขาการศึกษา ซึ่งการใช้ ทฤษฎีเกมเพื่อการศึกษานั้นมีความแตกต่างจากการประยุกต์ใช้ในสาขาอื่นๆ ตรงที่ทฤษฎีเกมตามทัศนะของนักเศรษฐศาสตร์เป็นการใช้หลักการทางคณิตศาสตร์และ การคำนวณเพื่อหาทางเลือกที่เหมาะสมในการแสดงพฤติกรรม หรือนำมาอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ มองว่ามนุษย์คือผู้ที่อยู่ในเกมและจะตัดสินใจเล่นเกมนั้นอย่างไร ในขณะที่ทฤษฎีเกมตามทัศนะของนักการศึกษาเป็นการใช้หลักการทางจิตวิทยามาใช้ เพื่อสร้างหรือจัดประสบการณ์การเรียนรู้ผ่านการเล่นให้กับผู้เรียน โดยมองว่ามนุษย์จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือมีการเรียนรู้อย่างมีความหมายใน ขณะหรือหลังจากการเล่นเกม โดยไม่ได้เน้นว่าเกมมีทางเลือกอย่างไรหรือควรจะตัดสินใจว่าจะเล่นเกมอย่างไร แต่เน้นผลที่ได้รับจากการเล่นเกม
เกมในปัจจุบันเป็นเกมในลักษณะเล่นอย่างเดียว “mere play” คือ วัตถุประสงค์เพื่อความเพลิดเพลิน สนุกสนานในการเล่นเกมของผู้เล่น กระบวนการสร้างเกมประเภทนี้ไม่ซับซ้อนและยุ่งยากหากต้องการให้บรรลุวัตถุ ประสงค์ข้างต้น แต่เกมเพื่อการศึกษาเป็นเกมที่มีลักษณะการเล่นเพื่อการเรียนรู้ “Play to Learning” วัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในขณะหรือหลังจากการเล่น เกม เรียนไปด้วยและก็สนุกไปด้วยพร้อมกัน ทำให้ผู้เรียนมีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย กระบวนการสร้างเกมเพื่อการศึกษาจำเป็นต้องผ่านการออกแบบลักษณะของเกมโดยยึด ตามหลักทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นเกมการศึกษาจึงเป็นเกมที่มีกระบวนการสร้างที่ซับซ้อน  และใช้เวลามากในการสร้างและพัฒนาการใช้และการสร้างเกมเพื่อการศึกษาใน ปัจจุบันมีลักษณะคล้ายๆกันคือ การนำเนื้อหาที่ต้องการให้ผู้เรียน เรียนนำเข้าไปแทรกในเกม แล้วให้ผู้เรียนได้เล่นเกมโดยเชื่อว่าความรู้หรือเนื้อหานั้นจะส่งผ่านไปยัง ผู้เรียนจนผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ในที่สุด โดยรูปแบบเกมที่สร้างขึ้นส่วนใหญ่จะคำนึกถึงเฉพาะความสะดวกและความง่ายในการ สร้างและพัฒนาเกมเท่านั้น ทำให้เกมทางการศึกษาจึงมีการสร้างเพียงไม่กี่รูปแบบ และยังใช้เกมรูปแบบเดียวใช้สอนเนื้อหาที่ต่างกันเพื่อความง่ายและสะดวกใน การสร้าง ทำให้เกิดข้อสงสัยว่ารูปแบบเกมแบบเดียว สามารถใช้กับเนื้อหาที่แตกต่างกันได้จริงหรือ สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการเลือกรูปแบบเกมเพื่อนำมาใช้เพื่อการศึกษาจะต้อง คำนึงถึงจุดประสงค์การเรียนรู้เป็นหลัก โดยสามารถจำแนกลักษณะของเกม แบ่งจุดประสงค์ของการเรียนรู้กับรูปแบบเกมที่ เหมาะสม ดังนี้    
1. ความจำ ความคงทนในการจำ ลักษณะเกมเป็นชุดของเนื้อหาและแบบประเมินหลังจากการอ่านชุดเนื้อหาต่างๆ แล้ว รูปแบบเกม เช่น เกมแบบฝึกหัด,Quiz, เกม Crossword และเกม puzzles ต่างๆ  เป็นต้น
2. ทักษะ การกระทำ เป็นเกมในลักษณะจำลองสถานการณ์เรื่องราว การกระทำ การเลียนแบบ โดยมีการให้ผลป้อนกลับและมีตัวแปรอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น เวลา รูปแบบเกม เช่น เกม Simulation ต่างๆ เช่น เกมยิง, เกมขับรถ เป็นต้น
3. ประยุกต์ความคิดรวบยอดและกฎข้อบังคับต่างๆ เป็นเกมในลักษณะกฎและขั้นตอนวิธีการในการปฏิบัติ มีเงื่อนไขในการกระทำ เช่น เกมกีฬาต่างๆ
4. ตัดสินใจ การแก้ปัญหา ลักษณะเป็นเกมแบบเป็นเรื่องราว สถานการณ์ สามารถแสดงผลการกระทำได้ในทันที Real Time  รูปแบบเกม เช่น เกมวางแผน, เกมผจญภัย เป็นต้น
5. การอยู่ร่วมกับสังคม ลักษณะเป็นเกมเกมเกี่ยวกับการสื่อสาร การเล่าเรื่องแล้วมีทางเลือก รูปแบบเกม เช่น เกมวางแผน, เกมผจญภัย, เกมเล่าเรื่องราวแล้วให้เลือก (เกมภาษา) เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ต่างกัน เกมที่ใช้ก็แตกต่างกันไปด้วย ดังนั้นในการเลือกใช้และพัฒนาเกมในอนาคตเราจึงควรคำนึงถึงจุดประสงค์การ เรียนรู้ควบคู่ไปกับรูปแบบเกมที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้เรียนรู้สึกสนุกไปพร้อมกับการเกิดการเรียนรู้ได้จริง
                เกมการศึกษา (Diclaetic Game) หมายถึงกิจกรรมการเล่นที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เพื่อเป็นพื้นฐานการศึกษามีครูและกติกาการเล่น มีกระบวนการเล่นเป็นสิ่งเร้าก่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยความสนุกสนาน(สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, 2536)
          สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติกระทรวงศึกษาธิการ ( 2536 ) ได้แบ่งประเภทของเกมการศึกษาออกเป็น 9 ประเภท ดังต่อไปนี้
          1.การจับคู่ เป็นเกมการศึกษาที่ฝึกให้เด็กสังเกตสิ่งที่เหมือนกันหรือต่างกัน ซึ่งอาจเป็นการเปรียบเทียบภาพต่างๆแล้วจัดเป็นคู่ๆ ตามจุดหมายของเกมแต่ละชุด
          2.การต่อภาพให้สมบูรณ์ เป็นเกมการศึกษาที่ฝึกให้เด็กสังเกตรายละเอียดของภาพที่เหมือนกัน หรือต่างกัน สังเกตเรื่อง สี รูปร่าง ขนาด ลวดลาย เป็นต้น
          3.เกมการวางภาพต่อปลาย (โดมิโน) เป็นลักษณะการวางภาพต่อปลายโดยต่อภาพที่เหมือนกับปลายของแผ่นท้ายไปเรื่อยๆ
          4.เกมเรียงลำดับ เป็นเกมการศึกษาที่ฝึกความสามารถในการจำแนก
          5.เกมการจัดหมวดหมู่ การจัดหมวดหมู่อาจแยกได้เป็นพวกใหญ่ๆ 2 พวกคือ การจัดวัสดุต่างๆและการจัดหมู่ที่เป็นภาพ
          6.เกมการสังเกตรายละเอียดภาพ (ล็อตโต) เป็นเกมที่ให้เด็กได้สังเกตรายละเอียดภาพแผ่นหลัก แล้วเลือกแผ่นลูกว่ามีสิ่งใดบ้างที่ปรากฏในแผ่นหลักอาจทำในลักษณะภาพซ่อน
          7.เกมจับคู่แบบตารางสัมพันธ์ เป็นเกมที่ให้เด็กได้ฝึกการสังเกต หาความสัมพันธ์ของภาพในแนวนอนและแนวตั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ในมุมฉากที่เกิดขึ้นเกมนี้สามารถทำได้หลากหลาย เช่น สี รูปร่าง การบวก-ลบ จำนวน
          8.เกมพื้นฐานการบวก เป็นเกมที่ผู้เล่นได้ฝึกทักษะทางตัวเลข ฝึกทักษะการรู้ค่าจำนวนของการบวก ความแตกต่างของภาพและจำนวนต่างๆในภาพ
          9.เกมการหาความสัมพันธ์ตามลำดับที่กำหนด เพื่อฝึกให้เด็กสังเกตในเรื่องลำดับที่และการวางเรียงลำดับ นอกจากนี้ยังฝึกการคิดอย่างมีเหตุผล เช่น เกมจับคู่ภาพตามลำดับที่กำหนด เป็นต้น
         

หลักการในการใช้เกมในการเรียนการสอน  ( อารี เกษมรัต, 2533 )
          “เกมทุกเกมมีกติกาข้อบังคับในการเล่นต้องคำนึงถึงเรื่องความสนใจของเด็กโดยเหมาะสมด้วย มิฉะนั้นการจัดเกมการศึกษาจะไม่ประสบความสำเร็จ ข้อควรคำนึงเกี่ยวกับการนำมาใช้จัดประสบการณ์ให้แก่เด็กคือ อายุ และวุฒิภาวะของเด็ก เด็กจะชอบเกมเคลื่อนไหว ความสามารถของเด็กแต่ละวัยไม่เหมือนกันระดับความสามารถและความพอใจของเด็ก ดังนั้นเกมอาจจะปรับให้เหมาะสมกับความต้องการและสภาพแวดล้อมได้ ลักษณะของเกมการศึกษาที่นำมาใช้ประกอบการเรียนนั้นมีความยากง่ายแตกต่างกันในเรื่องเนื้อหาและลักษณะของเกมแต่ละประเภท


จุดประสงค์ของการเล่นเกม
          การเล่นเกมจัดเป็นสื่อการเรียนที่เร้าให้นักเรียนเกิดความสนุกสนานและนักการศึกษามีจุดประสงค์ในการใช้ ดังนี้
          เทพวารี หอมสนิท และคนอื่น ๆ (2522) กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการเล่นเกม ดังนี้
1) เพื่อสอนให้มีความตอบสนองสังคม โดยให้ความร่วมมือและมีการแข่งขัน
2) เพื่อพัฒนาทักษะที่ต้องการและเทคนิคการสอน
3) เพื่อสอนให้รู้จักการทำงานมากที่สุด เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตน
4) เพื่อพัฒนาในด้านการเป็นผู้นำ และผู้ตามที่ดี
5) เพื่อพัฒนาให้เด็กรู้จักเคารพในการตัดสิน ละให้ความสำคัญของการมีกฎกติกา
6) เพื่อให้เข้าใจกฎกติกา มีน้าใจนักกีฬา มีความตื่นเต้น และมีความรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม
         
           เบญจา แสงมะลิ (2522)  กล่าวถึงจุดประสงค์ของการเล่นเกม ดังนี้
1) เพื่อสื่อความหมาย
2) เพื่อส่งเสริมการตัดสินใจ
3) เพื่อให้รู้จักกฎเกณฑ์
4) เพื่อให้รักความยุติธรรมและความถูกต้อง
5) เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์
6) เพื่อฝึกความจำและความคิดรวบยอด
7) เพื่อให้รู้จักปรับตัว
8) เพื่อให้มีความกล้าในการแสดงออก กล้าพูด กล้าเขียน ตลอดจนการฝึกการใช้กล้ามเนื้อสายตา
9) ส่งเสริมให้เป็นคนมีน้ำใจนักกีฬา


    จากจุดประสงค์ของการเล่นเกม จะเห็นได้ว่า การเล่นเกมเหมาะที่จะเป็นสื่อของการเรียนรู้ของเด็กเป็นอย่างยิ่ง เพราะการเล่นเกมเป็นวิธีหนึ่งที่ส่งเสริมให้เด็กรู้พัฒนาการ ด้านอารมณ์สังคมและพัฒนาทักษะต่าง ๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเตรียมความพร้อม เป็นการฝึกให้เด็กคิด รู้จักเหตุผลจากการสังเกต อีกทั้งยังช่วยในการฝึกทักษะในการแก้ปัญหาตลอดจน ช่วยเสริมสร้างเจตคติที่ดีต่อวิชาที่เรียน ช่วยส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้วิธีการทำงานและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น